ทุกวันนี้เรามีเวลาที่จะหันมาเอาใจใส่ทำอะไรให้กับตัวเองได้สักเท่าไหร่ "อิสรภาพ" ของชีวิตมันลดลงไปทุกที เหมือนเกิดมาเพื่อทำตามหน้าทีจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ถึงวัยอันควรเกษียณตัวเองจากภาระรับผิดชอบต่างๆได้แล้ว แต่ก็ยังต้องออกแรงช่วยลูกช่วยหลานทำมาหากิน หรือบางทีก็ต้องมาช่วยเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ดูแลรับผิดชอบเรื่องงานบ้านแทนเพราะทุกคนต้องออกไปทำมาหากิน แทนที่จะได้ปลดปล่อยชีวิตให้สบายในบั้นปลาย แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับ "อิสภาพ" อยู่ดี
ในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่กลายเป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่งของโลกโดยไม่รู้ตัว พอโตขึ้นมาก็ต้องไปเล่าเรียนเพื่อให้มีความสามารถในการทำงานให้กับโลกใบนี้ จบออกมาก็ต้องทำงาน พอถึงวัยชราทำงานให้กับโลกได้ไม่เต็มประสิทธิภาพก็จะถูกเกษียณออกไป ผมพอจะมองเห็นช่วงเวลาที่ชีวิตของคนเรามี "อิสราภาพ" ที่สุดนั่นคือช่วงวัยตั้งแต่เกิดจนถึงวัยก่อนเรียน หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปตามกลไกที่ผมกล่าวมาเบื้องต้นทั้งสิ้น
ยิ่งมีความเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ "อิสรภาพ" ของชีวิตยิ่งลดน้อยถอยลงไปมากเท่านั้น เทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นมาล้วนเป็นสิ่งที่ดึงให้เราเข้าไปติดอยู่ในนั้น แทนที่จะใช้เวลาหันมาดูแลตัวเองและคนรอบข้าง คนที่อายุมากกว่า 40 ปี คงพอมองเห็นความแตกต่างในเรื่อง "อิสรภาพ" ของคนในสมัยก่อนๆกับในสมัยนี้ได้ ผมไม่ได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อต้านกระแสโลก แต่มันเป็นมุมมองหนึ่งที่ผมพอมองเห็น เมื่อเราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เราก็ต้องไหลไปตามกระแสโลก แต่หากเรามองเห็นและรู้เท่าทันเราก็จะสามารถปรับตัวให้อยู่ได้ในสภาวะการณ์ต่างๆอย่างพอดีมีความสุข ไม่มากไม่น้อยเกินไป
เมื่อเห็นความแตกต่างระหว่างยุคแล้วอยากย้อนเวลากลับไปหาอดีตจังเลยครับ ตอนที่ปู่ผมถึงวัยเกษียณก็ได้ให้ "อิสภาพ" กับชีวิตไปอย่างเต็มที่ อยู่กับย่าแบบสบายๆ ทำงานอดเรกที่ชอบ ชีวิตคือการพักผ่อนหย่อนใจอย่างแท้จริง แต่พอถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ของผมพอถึงวัยปลดเกษีณกลับต้องมาช่วยเลี้ยงหลานดูแลบ้านให้ เพราะค่าใช้จ่ายในชีวิตมันเพิ่มขึ้นมากมายเหลือเกิน พ่อแม่ผมเลี้ยงลูก 6 คนมาได้อย่างสบายๆ ส่วนผมเลี้ยงลูกแค่สองคนแต่ดูว่ามันหนักหนาสาหัสเอาการเลยล่ะครับ คนรอบข้างคอยเตือนเสมอว่าให้ดูแลตัวเองบ้างระวังจะเจ็บป่วย เราก็รับรู้รับฟัง ทุกคนกลัวความเจ็บป่วยและโรคภัยไข้เจ็บด้วยกันทั้งนั้นล่ะครับ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงชีวิตคือการดิ้นรน ในแต่ละวันแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำไป ในบั้นปลายคนส่วนใหญ่จึงได้มีโรคภัยไข้เจ็บติดตัวมาด้วยเหตุสุดวิสัย
แม่ผมบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเปลี่ยนไป ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มมากขึ้นไม่เหมือนสมัยก่อนผมก็คิดว่าอย่างนั้น เอาแค่เรื่องลูกเรียนหนังสือแค่เรื่องเดียวก็หนักเอาการแล้ว ไหนจะต้องจ่ายค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ค่าเรียนกวดวิชา ค่าอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ค่าเดินทาง ค่ากิน นี่พูดมาแค่สิ่งที่เห็นได้ชัดๆนะครับยังมีเรื่องอื่นๆที่ต้องจ่ายอีกเรื่อยๆที่ยังไม่ได้พูดถึง ผมกับแฟนก็ต้องไปทำงานพิเศษเพิ่ม เวลาแห่ง "อิสรภาพ" ก็ลดน้อยถอยลงไปอีก
พอพูดถึงเรื่องเรียนของลูกผมก็เลยอยากเสริมอีกสักนิดว่ายุคสมัยนี้เป็นยุค "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" จริงๆ "มือใครยาวก็สาวได้สาวเอา" ธุรกิจในวงการศึกษาบ้านเรามันสูบเลือดสูบเนื้อจากพ่อแม่ผู้ปกครองไปอย่างมากมายเหลือเกิน ถ้าเราไม่ทำไปตามเขา ลูกเราก็ไปสอบแข่งขันสู้กับคนอื่นไม่ได้ ทำไม่ไม่ปรับเรื่องหลักสูตรใหม่ให้ดีเลย แล้วก็ทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เด็กๆจะได้ไม่ต้องไปเรียนพิเศษ มีเวลาอยู่บ้านเพิ่มขึ้น พ่อแม่ผูปกครองก็ไม่ต้องออกไปตะรอนทำงานพิเศษ ลำพังแค่เรื่องค่าเทอมยังพอทนครับ
แล้วก็เรื่องการลงทะเบียนต่างๆก็ต้องลดลงบ้างอย่าขูดเลือดขูดเนื้อกันมากนัก สมัยก่อนตอนที่ผมเรียนทำไมถึงได้ไม่มีอะไรเข้ามาตอดเงินทองพ่อแม่เราอย่างนี้ ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องของหัวหมอหัวการค้ามากกว่าที่เข้ามาทำให้เป็นแบบนี้ คนส่วนใหญ่เขาเดือดร้อนรู้เอาไว้ด้วย ผมเชื่อว่าเราปรับปรุงให้ดีได้ถ้าเอาเรื่องผลประโยชน์ออกไป การศึกษามีความจำเป็นต่อการพัฒนาบ้านเมืองในอนาคต ขอให้วางเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวลง ให้เด็กได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาให้ทั่วหน้าเถอะครับ
พอพูดเรื่องการศึกษาเลยร่ายมายาวเลย ความจริงยังมีเรื่องแย่ๆอีกเยอะเลยที่ไม่ได้พูดถึง นี่ล่ะครับปัจจัยส่วนหนึ่งที่เข้ามาลิดรอน "อิสภาพ" ของเราไป หาเวลาให้ตัวเองบ้างนะครับท่านผู้อ่านอย่าหักโหมจนเกินไป เดี๋ยวนี้ผมแบ่งเวลาให้ตัวเองวันละชั่วโมงดพื่อให้อะไรกับตัวเองบ้าง เพราะอย่างน้อยก็เป็นการให้อิสภาพแก่ตัวเอง เป็นการชาร์จพลังชีวิตอย่างหนึ่งครับ