นายดอกไม้Guide
มิลาน หรือ มีลาโน อิตาลี เป็นเมืองเอกของแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี ถือเป็นนครที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากกรุงโรม มิลานเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก แคว้นแกรนด์ดยุคแห่งมิลาน และราชอาณาจักรลอมบาร์เดีย-เวเนเซีย ตัวเมืองเก่ามิลานมีประชากรราว 1.4 ล้านคน ขณะที่ทั้งเขตเทศมณฑลมิลานจะมีประชากร 3.23 ล้านคน นครมิลานและปริมณฑลมีประชากรรวมกว่า 8.2 ล้านคน มิลานมีอัตราการก่อสร้างขยายเขตเมืองที่เร็วเป็นอันดับสี่ในสหภาพยุโรป เขตมหานครมิลานเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี และใหญ่เป็นอันดับสี่ในสหภาพยุโรป
มิลานได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในสี่เมืองหลวงด้านแฟชั่นของโลก ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการจัดงานนิทรรศการนานาชาติที่บ่อยครั้งในแต่ละปี งานที่ใหญ่ที่สุดของแต่ละปีคือมิลานแฟชั่นวีค และมิลานเฟอร์นิเจอร์แฟร์ สองงานนี้ถือเป็นงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของโลกในแง่รายได้, ผู้เข้าชม และอัตราเติบโต นครมิลานเคยเป็นสถานที่จัดงานนิทรรศการโลก ถึงสองครั้งในปี 1906 และ 2015 นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของสถาบันวัฒนธรรม, สถาบันการศึกษา และมหาวิทยาลัยจำนวนมาก นักศึกษาทั้งหมดในมิลานมีจำนวนคิดเป็น 11% ของทั้งอิตาลี นครมิลานมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือนกว่า 8 ล้านคนในแต่ละปี ซึ่งต่างมาชื่นชมพิพิธภัณฑ์ ห้องจัดแสดง รวมถึงชื่นชมงานจิตรกรรมชิ้นสำคัญของศิลปินเอกอย่าง เลโอนาร์โด ดา วินชี
อาสนวิหารมิลาน
อิตาลี หรือชื่อเต็มคือ อาสนมหาวิหารมหานครแม่พระบังเกิด เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกระดับอาสนวิหารและมหาวิหารรองในนครมิลาน ประเทศอิตาลี สร้างอุทิศแก่การบังเกิดของพระนางมารีย์ และเป็นวิหารประจำตำแหน่งอัครมุขนายกแห่งมิลาน อาสนวิหารสร้างขึ้นตามบัญชาของอัครมุขนายกอันโตนีโอ ดา ซาลุซโซ สร้างระหว่างค.ศ. 1386 ถึง 1577 วิหารมีความกว้าง 92 เมตร ลึก 158.6 เมตร สูง 108 เมตร สามารถจุคนได้ 40,000 คน ถือเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ใหญ่เป็นอันดับสามของทวีปยุโรป และอันดับห้าของโลก อาสนวิหารมิลานถือเป็นแบบอย่างสถาปัตยกรรมกอทิกที่สำคัญที่สุดในอิตาลี มีการเชิญรูปหล่อทองแดงปิดทองของพระนางมารีย์พรหมจารีไว้ที่ยอดของวิหารในปีค.ศ. 1774 และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของมิลาน ส่วนหลังคาของวิหารเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปเยี่ยมชม
ปราสาทฟอร์เซสโก้
อยู่ในมิลานทางตอนเหนือของอิตาลี มันถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 โดย ในส่วนที่เหลือของป้อมปราการศตวรรษที่ 14 ต่อมาได้รับการบูรณะและขยายใหญ่ขึ้นในศตวรรษที่ 16 และ 17 เป็นป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป สร้างใหม่โดย ในปี 1891-1905
มาเที่ยวมิลานทั้งที จะต้องแวะ ปราสาทฟอร์เซสโก้ สถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่และมีความสำคัญของอิตาลี ตั้งอยู่ใน Parco Sempione สวนสาธารณะเขียวขจีขนาดกว้างขวาง ชาวอิตาเลียนนิยมมาวิ่งออกกำลังกายกัน ความสง่างามและน่าเกรงขามจากกำแพงอิฐไซส์บิ๊กเรียงรายอย่างมีระเบียบตามสไตล์ยุคกลาง แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของหอคอยสูง 70 เมตร ภายในมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่มีชื่อว่า Museum of Ancient Art ให้ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาเมืองมิลานและเรื่องราวของปราสาทสฟอร์เซสโก้ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่เก็บผลงานศิลปะของศิลปินชื่อดังอย่าง ไมเคิล แองเจลโล รวมทั้งผลงานของเหล่าศิลปินชื่อดังในยุคเรเนสซองส์อีกเพียบ ดังนั้น ใครที่ชอบงานศิลป์ต้องไปเยือน
ย่านเบร์ร่าห์
เป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมือง เป็นอีกจุดน่าสนใจสำหรับการ เที่ยวมิลาน อยู่ห่างจากปราสาทสฟอร์เซสโก้เพียง 1.4 กิโลเมตร ถ้าการจราจรคล่องตัวขับรถเพียง 4 นาทีก็ถึง ด้วยสถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องสีเหลืองไข่ที่ดูเรียบง่ายและมากด้วยมนต์ขลัง และย่านนี้ยังเป็นสถานที่รวมตัวของบรรดานักออกแบบและดีไซน์เนอร์ อีกทั้งเป็นที่ตั้งของ Brera Academy of Fine Arts ถนนสายดังกล่าวนิยมมีงานศิลป์ใหม่ๆ ให้เสพย์อยู่เสมอเลยล่ะค่ะ พร้อมกับมีร้านอาหารอร่อย ไนท์คลับ และบูธจำหน่ายงานศิลปะอีกเพียบ
ย่านนาวิกลีเดินเที่ยวมิลานยามค่ำคืนย่านเลียบคลองสุดเก๋ที่ ย่านนาวิกลี (Navigli District) มาสัมผัสกับบรรยากาศสบายๆ เยี่ยมชมเมืองมิลานยามพระอาทิตย์ตกดิน แวะหาของอร่อยๆทาน เดินเล่นชมเมือง ดื่มด่ำกับบรรยากาศ ในย่านนี้จะดูคึกคักด้วยผู้คนที่มาเดินเล่นมากมาย ทั้งผู้คนที่นี่และนักท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวความสุขความทรงจำที่เมืองนี้อีกแห่ง
ถนน Corso Buenos Aires
เดินชมเมืองสบายๆ ที่ถนน Corso Buenos Aires มีร้านที่หลายคนคุ้นชื่ออยู่มากมาย อีกถนนช๊อปปิ้งสายใหญ่ของเมือง มาเที่ยวมิลานดินแดนแห่งแฟชั่นทั้งทีต้องพากันช้อปซะหน่อยโดยเฉพาะคุณผู้หญิงห้ามพลาด ท่านจะได้พบกับสถาปัตยกรรมสวยงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้ชมตลอดทั้งแนว ถนนเส้นนี้นิยมปิดถนนจัดงานแฟร์แสดงสินค้ากลางแจ้งอยู่เป็นประจำ แถมยังมีร้านค้าชั้นนำมากมาย เช่น เสื้อผ้าแบรนด์ Zara ร้านชุดชั้นในสตรี Tezenie ร้านสินค้าเครื่องหนัง Valigeria Vitruvio ฯลฯ นอกจากมีของให้เลือกซื้อ ถนนสายนี้ยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านซูซิ ร้านพิซซ่า และร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดให้ลองอีกเพียบ ขาช้อป สายกิน ต้องมาลุยแหล่งช๊อบแหล่งแฟชั่นแห่งนี้ครับ
อาหารระดับตำนานที่ห้ามพลาด
พิซซ่า
เป็นอาหารอิตาลี และอาหารจานด่วนประเภทหนึ่ง ซึ่งชาวอิตาลีเป็นผู้คิดค้น มีลักษณะเป็นแป้งแผ่นกลมแบนราดด้วยซอสมะเขือเทศ แล้วทำให้สุกโดยการอบในเตาอบ มาถึงถิ่นต้นฉบับและเป็นอาหารระดับตำนานอย่าลืมทานกันนะครับ
ประวัติของพิซซาเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 79 เมื่อภูเขาไฟ วิสุเวียส ระเบิดขึ้นและทลาย เมืองปอมเปอี ทั้งเมือง หลังจากนั้นประมาณ ค.ศ. 640 แกตาโน ฟิโอเรลลี่ ได้ค้นพบเตาฟืนโบราณจำนวนมากมายในซากปรักหักพังของเมืองที่ถูกลาวาถล่ม หนึ่งในจำนวนเตาทั้งหมดนั้น พบว่ามีเถ้าถ่านขนมปังติดอยู่ในเตาอยู่ถึง 7 กิโลกรัม ซึ่งเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าทหารโรมันในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนเมืองปอมเปอีจะถูกถล่มด้วยลาวาและเถ้าภูเขาไฟ ต่างกินขนมปังที่อบด้วยเตาฟืนโบราณนี้ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า ชาวเมืองในเมืองนาโปลีก็ทานขนมปังที่อบในเตาฟืนโบราณเช่นนี้มาประมาณ 700 ปีแล้ว ต่อมาในต้น ค.ศ. 1700 ชาวเมืองนาโปลีจึงได้เริ่มประยุกต์ใส่มะเขือเทศกับสมุนไพรบางอย่างลงในขนมปัง แล้วนำไปอบในเตาฟืนโบราณ นี่เองคือจุดเริ่มต้นของมารีนาราพิซซา และร้านพิซเซอเรียร้านแรกในนาโปลี ได้เปิดขายในปี ค.ศ. 1830
โดยร้านดังกล่าวใช้วิธีการอบพิซซาในเตาที่ทำจากหินภูเขาไฟ อีกประมาณร้อยปีต่อมา นับจาก ค.ศ. 1700 และชีสเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในอาหาร แต่ชีสดังกล่าวไม่ใช่ชีสปกติธรรมดาทั่วไป เป็นชีสที่ทำจากน้ำนมควายพื้นเมืองที่ชื่อ ฟิออเร่ ดี บัฟฟาล่า ประมาณปี ค.ศ. 1850 จึงเกิดพิซซามาเกอริต้าขึ้นโดย ราฟาเอล เอสโปสิโต แห่งเมืองเนเปิล ซึ่งได้ทำพิซซาถวายเมื่อคราวที่สมเด็จพระราชาธิบดีอุมแบร์โตที่ 1 และสมเด็จพระราชินีมาเกอริต้าได้เสด็จเยือนเมืองเนเปิล โดยใช้สีบนหน้าพิซซาแทนสัญลักษณ์ของธงชาติอิตาลี โดยใช้ใบเบซิลแทนสีเขียวใช้มอสซาเรลล่าชีสแทนสีขาวและมะเขือเทศแทนสีแดง และตั้งชื่อพิซซาเพื่อเป็นเกียรติแด่พระราชินีว่า มาเกอริต้า ซึ่งพระนางก็ได้ทรงพระอนุญาตให้ใช้ชื่อพระนางเป็นชื่อของพิซซาเมื่อปี ค.ศ. 1889 ซึ่งพิซซาดังกล่าวได้กลายเป็นมาตรฐาน ของพิซซาในปัจจุบัน ซึ่งพิซซาในปัจุบันโดยทั่วไปต่างก็ดัดแปลงหน้ามาจากพิซซา 2 ชนิดนี้ ซึ่งเป็นพิซซาดั้งเดิมของชาวนาโปลี คือ มารีนาราพิซซาและมาเกอริต้าพิซซา
พาสต้า คาโบนารา
ประวัติของพิซซาเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 79 เมื่อภูเขาไฟ วิสุเวียส ระเบิดขึ้นและทลาย เมืองปอมเปอี ทั้งเมือง หลังจากนั้นประมาณ ค.ศ. 640 แกตาโน ฟิโอเรลลี่ ได้ค้นพบเตาฟืนโบราณจำนวนมากมายในซากปรักหักพังของเมืองที่ถูกลาวาถล่ม หนึ่งในจำนวนเตาทั้งหมดนั้น พบว่ามีเถ้าถ่านขนมปังติดอยู่ในเตาอยู่ถึง 7 กิโลกรัม ซึ่งเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าทหารโรมันในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนเมืองปอมเปอีจะถูกถล่มด้วยลาวาและเถ้าภูเขาไฟ ต่างกินขนมปังที่อบด้วยเตาฟืนโบราณนี้ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า ชาวเมืองในเมืองนาโปลีก็ทานขนมปังที่อบในเตาฟืนโบราณเช่นนี้มาประมาณ 700 ปีแล้ว ต่อมาในต้น ค.ศ. 1700 ชาวเมืองนาโปลีจึงได้เริ่มประยุกต์ใส่มะเขือเทศกับสมุนไพรบางอย่างลงในขนมปัง แล้วนำไปอบในเตาฟืนโบราณ นี่เองคือจุดเริ่มต้นของมารีนาราพิซซา และร้านพิซเซอเรียร้านแรกในนาโปลี ได้เปิดขายในปี ค.ศ. 1830
โดยร้านดังกล่าวใช้วิธีการอบพิซซาในเตาที่ทำจากหินภูเขาไฟ อีกประมาณร้อยปีต่อมา นับจาก ค.ศ. 1700 และชีสเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในอาหาร แต่ชีสดังกล่าวไม่ใช่ชีสปกติธรรมดาทั่วไป เป็นชีสที่ทำจากน้ำนมควายพื้นเมืองที่ชื่อ ฟิออเร่ ดี บัฟฟาล่า ประมาณปี ค.ศ. 1850 จึงเกิดพิซซามาเกอริต้าขึ้นโดย ราฟาเอล เอสโปสิโต แห่งเมืองเนเปิล ซึ่งได้ทำพิซซาถวายเมื่อคราวที่สมเด็จพระราชาธิบดีอุมแบร์โตที่ 1 และสมเด็จพระราชินีมาเกอริต้าได้เสด็จเยือนเมืองเนเปิล โดยใช้สีบนหน้าพิซซาแทนสัญลักษณ์ของธงชาติอิตาลี โดยใช้ใบเบซิลแทนสีเขียวใช้มอสซาเรลล่าชีสแทนสีขาวและมะเขือเทศแทนสีแดง และตั้งชื่อพิซซาเพื่อเป็นเกียรติแด่พระราชินีว่า มาเกอริต้า ซึ่งพระนางก็ได้ทรงพระอนุญาตให้ใช้ชื่อพระนางเป็นชื่อของพิซซาเมื่อปี ค.ศ. 1889 ซึ่งพิซซาดังกล่าวได้กลายเป็นมาตรฐาน ของพิซซาในปัจจุบัน ซึ่งพิซซาในปัจุบันโดยทั่วไปต่างก็ดัดแปลงหน้ามาจากพิซซา 2 ชนิดนี้ ซึ่งเป็นพิซซาดั้งเดิมของชาวนาโปลี คือ มารีนาราพิซซาและมาเกอริต้าพิซซา
เป็นอาหารพาสตาชนิดหนึ่งตามแบบฉบับของแคว้นลาซีโอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงโรม ปรุงด้วยวัตถุดิบที่เป็นที่นิยมและมีรสชาติเข้มข้น
ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงที่ชาวอิตาลีประสบภาวะขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคอย่างหนัก ทำให้พ่อครัวเอาไข่ผงที่ทหารอเมริกันส่งมาให้มาผสมกับสปาเกตตีที่เป็นอาหารประจำชาติจนเกิดเป็นการ์โบนาราขึ้นมา จนกระทั่งทหารอเมริกันกลับสู่บ้านเกิด พวกเขาก็ยังนำเมนูนี้กลับไปเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาในชื่อ สปาเกตตีในซอสคาโบนารา
ลาซัญญา ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงที่ชาวอิตาลีประสบภาวะขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคอย่างหนัก ทำให้พ่อครัวเอาไข่ผงที่ทหารอเมริกันส่งมาให้มาผสมกับสปาเกตตีที่เป็นอาหารประจำชาติจนเกิดเป็นการ์โบนาราขึ้นมา จนกระทั่งทหารอเมริกันกลับสู่บ้านเกิด พวกเขาก็ยังนำเมนูนี้กลับไปเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาในชื่อ สปาเกตตีในซอสคาโบนารา
เป็น พาสตา ที่มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม อาจเป็นพาสตาที่เก่าแก่ที่สุดประเภทหนึ่ง โดยทั่วไป คำ ลาซัญญา หรือ ลาซัญเญ ยังหมายถึง อาหารอิตาลี ที่ทำจากแผ่นลาซัญญาแห้งวางสลับชั้นกับซอสและส่วนผสมอื่น ๆ เช่น เนื้อสัตว์ ซอสมะเขือเทศและผักต่าง ๆ เนยแข็ง ซึ่งอาจเป็นรีกอตตาและพาร์เมซาน และเครื่องปรุงรสและเครื่องเทศ เช่น กระเทียม ออริกาโน และใบโหระพา อาจโรยหน้าด้วยเนยแข็งมอซซาเรลลาขูด ตามแบบฉบับแล้วจะนำแผ่นลาซัญญาที่วางสลับกับส่วนผสมอื่น ๆ นี้ไปอบในเตาอบ ในภาษาอิตาลีเรียกว่า ลาซัญเญอัลฟอร์โน แปลว่า ลาซัญญาเตาอบ ลาซัญญาที่อบสุกแล้วจะถูกตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมก่อนเสิร์ฟ
เจลาโต
เจลาโต
gelato เป็นคำภาษาอิตาลีแปลว่าไอศกรีม ในภาษาอังกฤษโดยทั่วไปใช้เรียกไอศกรีมที่ทำขึ้นตามแบบอย่างอิตาลี ส่วนผสมพื้นฐานของไอศกรีมชนิดนี้ได้แก่ นม ครีม น้ำตาล และแต่งกลิ่นรสด้วยผลไม้ เมล็ดพืชบดเป็นครีมข้น หรือสารให้กลิ่นรสอื่น ๆ เจลาโตมีฟองอากาศแทรกอยู่ในเนื้อไอศกรีมน้อยกว่าของหวานแช่แข็งชนิดอื่น ๆ จึงเนื้อสัมผัสที่แน่นเนียนและมีรสชาติเข้มข้นแตกต่างกับไอศกรีมชนิดอื่น ๆ อย่างชัดเจน
ปริมาณน้ำตาลในเจลาโตจะสมดุลกับปริมาณน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ไอศกรีมแข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ ประเภทของน้ำตาลที่ใช้ได้แก่ ซูโครส เดกซ์โทรส น้ำเชื่อมกลูโคสและฟรักโทส เพื่อควบคุมไม่ให้มีรสหวานแหลมเกินไป ตามปกติ ในการทำเจลาโตยังเติมสารให้ความคงตัวเข้าไปด้วย โดยในการผลิตจำนวนมากเพื่อการพาณิชย์นิยมใช้ยางเมล็ดกวาร์
ในอิตาลี ตามกฎหมาย เจลาโตจะต้องมีไขมันเนยอย่างต่ำร้อยละ 3.5 แต่ในสหรัฐอเมริกายังไม่มีบทนิยามมาตรฐานตามกฎหมายสำหรับเจลาโต มีเพียงบทนิยามมาตรฐานสำหรับไอศกรีมซึ่งต้องมีไขมันเนยอย่างน้อยร้อยละ 10
ชิกเคติปริมาณน้ำตาลในเจลาโตจะสมดุลกับปริมาณน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ไอศกรีมแข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ ประเภทของน้ำตาลที่ใช้ได้แก่ ซูโครส เดกซ์โทรส น้ำเชื่อมกลูโคสและฟรักโทส เพื่อควบคุมไม่ให้มีรสหวานแหลมเกินไป ตามปกติ ในการทำเจลาโตยังเติมสารให้ความคงตัวเข้าไปด้วย โดยในการผลิตจำนวนมากเพื่อการพาณิชย์นิยมใช้ยางเมล็ดกวาร์
ในอิตาลี ตามกฎหมาย เจลาโตจะต้องมีไขมันเนยอย่างต่ำร้อยละ 3.5 แต่ในสหรัฐอเมริกายังไม่มีบทนิยามมาตรฐานตามกฎหมายสำหรับเจลาโต มีเพียงบทนิยามมาตรฐานสำหรับไอศกรีมซึ่งต้องมีไขมันเนยอย่างน้อยร้อยละ 10
เป็นคำภาษาอิตาเลียนแปลว่า จานเล็ก แต่สำหรับชาวเมือง เวนิส ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวทางตอนเหนือของอิตาลี พวกเขาหมายถึง อาหารพื้นเมืองจานเล็ก และ อาหารว่าง ที่เสิร์ฟมาเป็นคำๆ ชิ้นเล็กๆ เสิร์ฟในจานขนาดเล็ก ตามชิกเคติ บาร์ ด้วยปริมาณอาหารที่น้อยกว่าปกติ ชาวเวนิสมักสั่งอาหารชิกเคติหลายประเภทมาแชร์กันที่โต๊ะระหว่างเพื่อนฝูง ควบคู่ไปกับการจิบไวน์ ไม่แปลกหากเห็นจานอาหารเต็มโต๊ะตาม ชิกเคติ บาร์ ที่กระจายอยู่โดยรอบของเมือง
ฟอคคาเซีย
เป็นอีกหนึ่งอาหารแบบขนมปังที่อร่อยและได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี มีสูตรทำที่หลากหลาย และมีวิธีทำที่แตกต่างจากขนมปังชนิดอื่น อาหารชนิดมีทั่วอิตาลีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีลักษณะเป็นขนมปังแบน เนื้อขนมปังจะหอมมาก โดยตัวแป้งจะมีลักษณะคล้ายๆ กับแป้งที่ใช้ทำพิซซ่า แต่ค่อนข้างจะหนักและเหนียวเป็นพิเศษ โดยปกติอาหารชนิดนี้จะทำด้วยแป้งสาลีและยีสต์ผสมน้ำเกลือและน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์คุณภาพสูง
ออสโซบูโก
เป็นอาหารอิตาลีที่มีต้นกำเนิดในเมืองมิลาน ปรุงจากเนื้อวัวส่วนน่องหรือเนื้อน่องลายตัดตามขวาง นำมาคลุกแป้งแล้วทอดให้พอสุก จากนั้นนำไปอบพร้อมน้ำซุป ที่ทำจากหอมหัวใหญ่ แคร์รอต ใบไทม์ กระเทียม โรสแมรี มะเขือเทศ และไวน์แดง กินกับรีซอตโต รีซอตโต ซึ่งเป็นข้าวผัดที่มีลักษณะข้นไปด้วยครีมจากการดูดซับไวน์และน้ำซุปจากเนื้อวัว ปลา หรือผักในขณะผัด ส่วนผสมหลักของรีซอตโตโดยทั่วไปมักประกอบด้วยชีสพาร์มีซอน เนย และหัวหอม ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีหุงข้าวอันนิยมที่สุดในอาหารอีตาลี ออสโซบูโกมีสองแบบ แบบสมัยใหม่ใส่มะเขือเทศ แต่แบบดั้งเดิมไม่ใส่ แบบที่เก่ากว่า จะแต่งกลิ่นด้วยอบเชย ใบเบย์ แบบสมัยใหม่เป็นที่นิยมที่สุด
พันซาเนลลา
เป็นสลัดสับของชาวทัสกันซึ่งเป็นเกษตรกรใช้ผลผลิตที่ปลูกเองมาเป็นส่วนประกอบ เป็นสลัดที่แช่ขนมปังค้าง หัวหอม และมะเขือเทศที่เป็นที่นิยมในช่วงฤดูร้อน มักประกอบด้วยแตงกวาใบโหระพาบางครั้งและแต่งด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำส้มสายชู นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมในส่วนอื่น ๆ ของภาคกลางของอิตาลี
สโมสรฟุตบอลระดับโลกของเมืองมิลาน
สโมสรฟุตบอลมิลาน
อิตาลีหรือ เอซี มิลาน หรือที่ฉายาในสื่อไทยเรียกว่า ปีศาจแดง-ดำ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในเมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1899 และเป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในวงการฟุตบอลของยุโรปและของโลก โดยได้แชมป์ระดับเมเจอร์รวมทั้งหมดถึง 46 รายการ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี เช่นเดียวกับ ยูเวนตุส และอินเตอร์ นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม จี-14 ซึ่งเป็นกลุ่มของสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปอีกด้วย
อิตาลีหรือ เอซี มิลาน หรือที่ฉายาในสื่อไทยเรียกว่า ปีศาจแดง-ดำ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในเมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1899 และเป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในวงการฟุตบอลของยุโรปและของโลก โดยได้แชมป์ระดับเมเจอร์รวมทั้งหมดถึง 46 รายการ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี เช่นเดียวกับ ยูเวนตุส และอินเตอร์ นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม จี-14 ซึ่งเป็นกลุ่มของสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปอีกด้วย
เอซี มิลาน ใช้สนามซานซีโร หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สตาดีโอ จูเซ็ปเป เมอัซซา เป็นสนามที่ใช้ในการเล่นในฐานะเจ้าบ้าน ร่วมกับทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างอินเตอร์
สโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน
อิตาลี หรือที่เรียกย่อว่า อินเตอร์นาซีโอนาเล หรือ อินเตอร์มิลาน ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1908 ตั้งอยู่ในเมืองมิลานเขตลอมบาร์ดี ประเทศอิตาลี โดยเป็นสโมสรเดียวที่ไม่เคยตกชั้นจาก เซเรียอา นับตั้งแต่ก่อตั้งลีกสูงสุดในปี ค.ศ. 1929 และปัจจุบันเป็นสมาชิกในกลุ่มฟุตบอล จี-14 สีเสื้อประจำสโมสรคือสีน้ำเงินและสีดำลายทาง
ยังมีเรื่องราวและสีสรรอีกมากมายที่ มิลาน ที่ผมไม่ได้นำมาลง วันนี้เอาแค่พอสังเขป เรียกน้ำย่อยก่อน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังจะตัดสินใจไปท่องเที่ยวที่มิลาน หรือท่านที่กำลังคิดว่าจะไปไหนกันดี คราวหน้า นายดอกไม้บ้านสวน จะพาไปท่องเที่ยวไหนกันต่อ ฝากติดตามและเป็นกำลังใจด้วยนะครับ
อย่าลืมนะครับ จองตั๋ว จองห้องพัก ในประเทศและทั่วทุกมุมโลก พร้อมส่วนลดและสิทธิ์พิเศษมากมายกับ อโกด้า สะดวกสบาย ไปง่ายทั่วทุกมุมโลก ตอบทุกโจทย์ ของการเดินทาง ห้องพัก ท่องเที่ยว คลิกลิ้งก์ ดูรายระเอียดกันก่อนตัดสินใจกับที่อื่นใดนะครับ
อิตาลี หรือที่เรียกย่อว่า อินเตอร์นาซีโอนาเล หรือ อินเตอร์มิลาน ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1908 ตั้งอยู่ในเมืองมิลานเขตลอมบาร์ดี ประเทศอิตาลี โดยเป็นสโมสรเดียวที่ไม่เคยตกชั้นจาก เซเรียอา นับตั้งแต่ก่อตั้งลีกสูงสุดในปี ค.ศ. 1929 และปัจจุบันเป็นสมาชิกในกลุ่มฟุตบอล จี-14 สีเสื้อประจำสโมสรคือสีน้ำเงินและสีดำลายทาง
ยังมีเรื่องราวและสีสรรอีกมากมายที่ มิลาน ที่ผมไม่ได้นำมาลง วันนี้เอาแค่พอสังเขป เรียกน้ำย่อยก่อน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังจะตัดสินใจไปท่องเที่ยวที่มิลาน หรือท่านที่กำลังคิดว่าจะไปไหนกันดี คราวหน้า นายดอกไม้บ้านสวน จะพาไปท่องเที่ยวไหนกันต่อ ฝากติดตามและเป็นกำลังใจด้วยนะครับ
อย่าลืมนะครับ จองตั๋ว จองห้องพัก ในประเทศและทั่วทุกมุมโลก พร้อมส่วนลดและสิทธิ์พิเศษมากมายกับ อโกด้า สะดวกสบาย ไปง่ายทั่วทุกมุมโลก ตอบทุกโจทย์ ของการเดินทาง ห้องพัก ท่องเที่ยว คลิกลิ้งก์ ดูรายระเอียดกันก่อนตัดสินใจกับที่อื่นใดนะครับ